✍🏼 อย่าถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่?”
เพราะในโลกของซอฟต์แวร์ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆเช่นกัน โปรดักท์ เมเนเจอร์ที่ดีต้องรู้จักการตั้งคำถามที่ถูกต้อง
เพราะในโลกของซอฟต์แวร์ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆเช่นกัน โปรดักท์ เมเนเจอร์ที่ดีต้องรู้จักการตั้งคำถามที่ถูกต้อง
ถ้าเราตั้งเป้าหมายว่าทุกอย่างที่เราทำ ทุกฟีเจอร์ที่เราโค๊ดไปต้องรีลีส ต้องส่งมอบ … รู้ตัวเองไว้เลยว่าเรากำลังทำอะไรที่อนุรักษ์นิยมเกินไป
โปรดักท์เมเนเจอร์คนแรกรู้เรื่องแบ็คล็อกอย่างดี โปรดักท์เมเนเจอร์คนที่สองเข้าใจเป้าหมายอย่างถ่องแท้ ถ้าเลือกได้เราอยากเป็นแบบไหน?
บางทีเราเห็นโปรดักท์บางตัวที่เหมือนทำไม่เสร็จ คิดไม่จบ ครึ่งๆกลางๆ มันก็ทำให้สงสัยในกระบวนการคิดเบื้องหลังว่า “ทำไมมันไปไม่สุด” – ปัญหานี้แก้ได้ด้วยคำถามเดียว
ด้วยความพยายามอยากชนะใจลูกค้า เราเพิ่มฟีเจอร์ที่คิดว่าดีเข้าไปในทุกครั้งที่เราพยายามจะปรับปรุงโปรดักท์ คำถามคือฟีเจอร์เหล่านั้นถูกมองอย่างไรในสายตาผู้ซื้อ
ข้อแตกต่างของโปรดักท์ที่สำเร็จและล้มเหลวคือความสำเร็จเกิดจากการจัดการปัจจัยทั้ง 4 ข้อนี้ได้ดี ส่วนที่ล้มเหลวคือ … พลาดแค่เรื่องเดียวก็จบแล้ว
บางธุรกิจพยายามใช้ราคาเป็นเครื่องซื้อใจลูกค้าด้วยความหวังที่ว่าราคาถูกจะสร้างความพึงพอใจได้ … มันก็ไม่เสมอไปเพราะมีลูกค้ามากมายที่มองความพึงพอใจและคุณภาพก่อนราคา
ในฐานะคนทำโปรดักท์ หน้าที่สำคัญของเราคือการเข้าใจและเข้าถึงความปรารถนาของผู้ใช้ การรับฟังเพียงอย่างเดียวไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง แม้แต่การทำตามใจผู้ใช้ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดสักเท่าไร … เราต้องฝึกฝนทักษะนี้ให้เก่งกว่าคนอื่น
ทำโปรเจกต์มาเป็น 10 ปี ไม่เคยมีงานไหนที่ส่วนยูไอเสร็จก่อนชาวบ้านเลย ยูไอช้าที่สุด ยูไอคือคอขวด ยูไอแตกหักง่าย … เราต้องใช้เวลากับมันมากที่สุด ทำไม?
เราสงสัยว่าทำไมซอฟต์แวร์ของเราไม่เรียบร้อย บั๊กเยอะ หนี้ทางเทคนิคก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่กระบวนการทำงานด้านอื่นๆก็แย่ลง … ทฤษฎีหน้าต่างแตกมีคำตอบให้ … เพราะเราละเลยเรื่องหนึ่งมันจึงส่งผลกับอีกเรื่องหนึ่งโดยปริยาย