ความแตกต่างระหว่างบริษัทเล็กๆที่พยายามหาเงินด้วยตัวเองกับบริษัทดาวรุ่งที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนคือบริษัทแบบแรกจะใช้ความคิดแทบทั้งหมดไปกับการหาเงินและสร้างรายได้
- ทำอย่างไรให้สินค้าขายได้
- ทำอย่างไรให้สินค้าขายดีขึ้น
- ทำอย่างไรให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีก
- ทำอย่างไรที่จะลดต้นทุนลงได้
- ทำอย่างไรที่จะได้กำไรมากขึ้น
- ทำอย่างไรที่จะสร้างธุรกิจอย่างยั่งยืน
เซลล์สมองแทบทุกเซลล์มีไว้เพื่อเรื่องเดียว — หาเงิน เพราะเงินคือความอยู่รอด เพราะเงินคือพระเจ้า 😨
บริษัทที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจะมีแนวคิดที่ต่างไป แน่นอนว่าบริษัทกลุ่มนี้ก็ต้องการสร้างเงินแต่ในแวบแรกหลังจากเห็นเงินก้อนใหญ่กองอยู่ในบัญชีแล้วสิ่งที่พวกเขาคิดก่อนเลยคือการใช้เงิน
- ลงทุนเพิ่มคน
- ลงทุนเพิ่มเครื่องมือและอุปกรณ์
- ลงทุนจ้างเอเจนซี่สื่อโฆษณา
- ลงทุนขยายออฟฟิศ
- ลงทุนสร้างโปรดักท์เพิ่ม
- ลงทุนสร้างเครือข่ายธุรกิจ
แผนการหาเงินถูกแทนที่ด้วยแผนการใช้จ่ายเงิน
มันไม่มีอะไรผิดร้ายแรง เมื่อเรามีเงินเราก็ควรต้องพยายามหาทางใช้ประโยชน์จากเงินก้อนนั้นเพื่อสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต แต่สิ่งสำคัญคือความเหมาะสมและสมดุล มีบริษัทมากมายนับไม่ถ้วนที่เมื่อได้เงินลงทุนแล้วไปไม่รอด สาเหตุคงเป็นเพราะพวกเขามีความสามารถในการหาเงินไม่เท่ากับการใช้จ่ายเงิน (แน่นอน การใช้เงินเป็นเรื่องง่ายแบบไม่มีอะไรมาเทียบได้อยู่แล้ว) เมื่อทักษะการหาเงินไม่ดีไม่แน่น มีเงินมากเท่าไรก็อาจจะหมดไปในเวลาอันสั้น เรื่องนี้สิที่น่ากลัว
เราต้องพยายามบอกตัวเองเสมอว่าก่อนจะเก่งเรื่องใช้เงิน เราต้องพยายามเก่งเรื่องหาเงินก่อน เราต้องสร้างพื้นฐานในการทำธุรกิจที่ยั่งยืนให้ได้ก่อน เราต้องเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการสร้างกำไรก่อนคิดจะทำอย่างอื่น
เรื่องนี้แหละ ยากที่สุดในโลกของธุรกิจแล้ว และถ้าใครทำได้ก็จะเจริญรุ่งเรืองแบบหยุดไม่อยู่