ถ้าใครบอกว่าคนที่เป็นเจ้าของ Cloud Infrastructure Servers ที่ใหญ่และสร้างรายได้สูงสุดในโลกคือบริษัทที่เริ่มต้นจากการเป็นเวปไซต์ขายหนังสือออนไลน์ ก็ Amazon นั่นแหละ ผมกำลังพูดถึง Amazon Web Service (AWS) — ระบบที่เราหลายคนเพิ่งรู้จักและใช้งานมันในปี 2015 แต่รู้มั้ยว่าต้นกำเนิดของมันต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงปี 2003 แล้ว
คริส พิ้งคแฮม (Chris Pinkham) หนึ่งในวิศวกรคอมพิวเตอร์ธรรมดาที่รับผิดชอบดูแลโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกของอเมซอนมีไอเดียว่า “ไหนๆเราต้องทำระบบ โครงสร้างพื้นฐานระดับบิ๊กบึ้มให้เวปไซต์ Amazon.com อยู่แล้ว เราน่าจะขยายระบบนี้ให้คนอื่นได้ใช้บ้าง มันน่าจะเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตได้มากในอนาคต”
คริสเอาแนวคิดไปเสนอต่อเจฟ เบซอส (Jeff Bezos) ซีอีโอผู้ซึ่งมีชื่อเสียงจากความสามารถในการมองการณ์ไกลและมีวิสัยทัศน์ที่เฉียบคม … เจฟฟ์ชอบแนวคิดนี้มาก สั่งลุยทันที ตั้งทีมที่แอฟริกาใต้ เบิกงบพัฒนา เจฟลงมาดูแลงานนี้ด้วยตัวเอง
ในปี 2005 Amazon Web Server เวอร์ชั่นแรกเปิดให้ลูกค้าบางคนเข้ามาลองใช้ … คล้ายๆเป็นเบต้าเวอร์ชั่น จากนั้นในปี 2006 Amazon Web Service ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ที่เหลือคือประวัติศาสตร์
รูปนี้เล่าถึงรายได้จากธุรกิจอื่นๆนอกเหนือจากอีคอมเมิร์ส ลองดูช่วงที่ S3 และ EC2 เปิดตัวในปี 2006 … หลังจากนั้นกราฟพุ่งทะลุเพดาน
รูปนี้เล่าให้ฟังเรื่องจำนวนออบเจ็กต์ (ไม่ว่าจะอยู่ในรูปฐานข้อมูลหรือไฟล์ต่างๆ) ที่ถูกเก็บใน AWS มีจำนวนมหาศาลแค่ไหน — เส้นสีฟ้า / และเส้นสีแดงคือจำนวนการให้บริการเพิ่มเติมของ AWS ที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รูปนี้เล่าให้ฟังว่ารายได้ที่อเมซอนได้จาก AWS ในไตรมาสแรกของปีนี้มากกว่าคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุดสี่รายรวมกัน
บทความนี้ไม่ใช่จะมาอวย AWS แต่อยากชี้ให้เห็นว่า Innovation/ นวัตกรรมเป็นเรื่องของการหวังผลระยะยาว การมองการณ์ไกล มันเป็นเกมส์ของคนที่พร้อมรอคอย ใครใจไม่นิ่งก็จะแพ้ภัยตัวเองไปก่อน
AWS ใช้เวลาสร้างอย่างน้อยสามปี ใช้เวลาอีกสองปีกว่าจะเริ่มสร้างรายได้ที่มั่นคงให้อเมซอน … เจฟรอได้เพราะเค้ามองที่ศักยภาพของธุรกิจไม่ใช่มาถามกันตั้งแต่วันแรกว่าจะได้กำไรเท่าไร? จะต้องลงทุนเท่าไร? จะคุ้มทุนปีไหน? จะมีลูกค้าปีแรกกี่คน? — ถ้าใครตั้งคำถามพวกนี้กับงานนวัตกรรม เค้าไม่ใช่คนที่มองการณ์ไกล เค้าไม่ใช่คนที่พร้อมจะเล่นเกมส์ระยะยาวและเค้าจะพลาดโอกาสที่สำคัญไป