หัวใจของการทำงานแบบคล่องตัวคือการตรวจสอบ (Inspect) และการปรับตัว (Adapt) … ตราบใดที่เราพร้อมที่จะตรวจสอบและเปิดใจกว้างพอที่จะปรับตัว ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นกระบวนการที่ใช่สำหรับเรา
แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน
มาว่ากันด้วยคำว่าปรับตัวกันก่อน บางครั้งเราต้องการปรับตัวเพื่อตอบสนองกับสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนภายนอก ธุรกิจ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี การแข่งขัน พฤติกรรมผู้คน และอื่นๆ เมื่อเราอยู่ในสภาพที่ต้องเปิดตากว้างเพื่อมองหาช่องทางในการสร้างและนำเสนอสิ่งที่ตลาดต้องการมันเป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องปรับตัวเพื่อไล่ล่าหาคำตอบเหล่านี้
- โปรดักท์นี่ใช่มั้ย
- ฟีเจอร์แบบนี้ตรงใจพวกเขารึเปล่า
- ราคานี้ลูกค้ารับได้และเรามีกำไรมั้ย
- ช่องทางการขายและทำการตลาดควรเป็นแบบไหนดี
ทั้งหมดนี้เปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว จากวันแรกที่เรามีเพียงสมมติฐานจนนานวันเข้าเราเริ่มมีข้อมูลข้อเท็จจริงมากขึ้น เราจึงต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องทำแบบนี้
และความคิดที่ว่ากระบวนการที่ใช้ในการสร้างโปรดักท์ที่ดีที่สุดนั้นมีรูปแบบเดียวผิดเต็มๆ มันมีอีกหลายสถานการณ์นับไม่ถ้วนที่กระบวนการที่มีคนนิยมใช้เยอะไม่ใช่ทางเลือกแรกและไม่สร้างประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้ เช่น
- งานนี้ลูกค้าสั่งมาแล้วว่าจะเอาแบบนี้เป๊ะๆ ลูกค้าใหญ่มาก อำนาจเยอะมาก สั่งอะไรต้องได้แบบนั้น — การเรียนรู้, ตรวจสอบ, และปรับตัวแทบไม่จำเป็น
- งานนี้ผู้บริหารระดับสูงเป็นคนคุม อาจจะเพราะต้องการไล่กวดคู่แข่งเพื่อแย่งชิงพื้นที่ตลาด ฟีเจอร์ต้องครบมาก ไม่มีคำว่าเอ็มวีพีใดๆ ไม่ต้องรีลีสเป็นรอบ รอปล่อยของทีเดียวตอนท้าย — การเรียนรู้และปรับตัวระหว่างทางจึงแทบไม่เกิดขึ้น
- สำหรับระบบ (ซอฟต์แวร์) ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ซอฟต์แวร์ในยานพาหนะ, ซอฟต์แวร์ควบคุมเครื่องจักร, ซอฟต์แวร์ระบบธนาคาร คงไม่มีใครกล้าลองผิดลองถูก — การเรียนรู้และปรับตัวระหว่างทางเป็นสิ่งยอมรับไม่ได้
- โปรเจกต์ก๊อบปี้ นั่นคือทำตามของเดิมที่มี ทำตามคู่แข่งทุกขั้นตอน ทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว — ความคิดสร้างสรรค์และการทดลองเพื่อเก็บข้อมูลจึงไร้ประโยชน์
มีอีกหลากหลายรูปแบบของงานที่ไม่ต้องการกระบวนการจัดการสมัยใหม่ ความคลาสสิกอย่างวอเตอร์ฟอลล์ก็ยังตอบโจทย์ได้ดีอยู่
ถูกต้อง เราอาจจะคิดถึงวิธีการนั้นเป็นตัวเลือกแรกเสมอ แต่อย่าเข้าใจผิดว่ามันเป็นตัวเลือกเดียวที่เรามี