“ดีเวลลอปเปอร์เก่งๆสมัยนี้หายากมั้ยครับ?” — ผู้จัดการอาวุโสของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งถามผมเมื่อไม่นานมานี้
“ยากครับ” — ผมตอบโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
“ผมเห็นดีเวลลอปเปอร์เก่งๆต้องผันตัวเองไปเป็นเมเนเจอร์เพื่อความก้าวหน้าหลายคนแล้วครับ พอขึ้นไปอยู่ระดับนั้นด้วยหน้าที่รับผิดชอบมันก็ยากที่จะมีโอกาสมีเวลามาเขียนโค๊ดครับ”
“หรือต่อให้ถูกบังคับให้เขียนโค๊ด … เขาก็จะติดปัญหาเรื่องการแบ่งเวลาและสมาธิอีก กลายเป็นจับปลาสองมือ ทำอะไรได้ไม่เต็มที่ซักอย่าง”
“พอเหตุการณ์เป็นแบบนี้ สิ่งที่เราจะเสียไปมีสามอย่าง
- เมเนเจอร์ที่ไม่เก่งเรื่องคน (ก็ชีวิตนี้อยู่ได้ด้วยการเขียนโค๊ด)
- ดีเวลลอปเปอร์มือใหม่ที่ไม่เก่งและไม่มีประสบการณ์ (มาทำงานแทนคนที่ถูกผลักดันให้ไปเป็นเมเนเจอร์)
- คนที่เก่งเรื่องคนจริงๆไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองความรู้สึกของคำว่าเมเนเจอร์
มีแต่ข้อเสียนะครับ” 😹
สิ่งที่ผมเล่าไปข้างบนตรงกับคอนเซ็ปป์ที่เรียกว่า Peter Principle แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
การเลือกใครซักคนมารับตำแหน่งใหม่นั้นเป็นไปโดยดูจากประสิทธิภาพการทำงานในตำแหน่งปัจจุบันมากกว่าจะเป็นความสามารถที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานในตำแหน่งใหม่
ลงท้ายเลยกลายเป็นว่า
- พนักงานทั่วๆไปจะหยุดได้รับการโปรโมตถ้าเขาทำงานได้ไม่ดีในตำแหน่งปัจจุบัน (ถ้าไม่เก่งเทคนิคัล — เขาจะหมดโอกาสย้ายไปทำงานเมเนจเม้นต์มั้ย? ก็อาจจะ แต่จริงๆแล้วมันไม่เกี่ยวกันโดยตรงเลยนะ) และ
- เมเนเจอร์จะถูกผลักดันให้เติบโตขึ้นไปในส่วนงานที่เขาไม่มีความสามารถ (เพราะเขาทำได้ดีในการเป็นดีเวลลอปเม้นต์เมเนเจอร์ไม่ได้แปลว่าเขาจะพร้อมรับหน้าที่ที่ใหญ่กว่าอย่างซีโอโอ — Chief Operating Officer)
เจสัน ฟรีด์ (Jason Fried — ผู้ร่วมก่อตั้ง Basecamp) แชร์ไอเดียที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า ทำไมเราถึงบังคับให้เขาหยุดทำในสิ่งที่เค้าทำได้ดี? เช่น คนเขียนโค๊ดเก่ง ถ้าอยากก้าวหน้าต้องเปลี่ยนมาเป็นเมเนเจอร์ หรือคนออกแบบยูไอเก่ง ถ้าอยากก้าวหน้าต้องเปลี่ยนมาเป็นคนคุมกลยุทธ์
ถ้าคีย์เวิร์ดสำคัญคือคำว่า “ก้าวหน้า” เราควรทำให้ทุกคนได้ก้าวหน้าในสิ่งที่ตัวเองรักและถนัดมากกว่า … จริงมั้ย?