ผมเป็นคนที่ไม่เคยไม่มีความคิดเห็น ไม่ว่าจะเรื่องอะไร งาน ธุรกิจ โปรดักท์ กีฬา ดราม่า หรือทั่วไป เมื่อไรมีคนถามเมื่อนั้นผมต้องง้างปากตอบ — ทันที
ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบรอคอยทำให้ผมมักจะสมัครใจทำอะไรเป็นคนแรกเสมอ
“เอ้า ใครมีความคิดเห็นอะไรเพิ่มเติมบ้างมั้ย?” เมื่อเจอคำถามแบบนี้ในห้องประชุม ผมจะเป็นคนแรกที่ยกมือตอบ เพราะมันคันปาก เพราะผมไม่ชอบบรรยากาศเงียบๆแล้วรอคอยให้ใครสักคนพูดขึ้นมาเป็นคนแรก ผมเลยต้องรีบชิงลงมือก่อน
“ไปคุยกับลูกค้ามาเมื่อเช้า เขาบอกว่าเค้าเจอปัญหาแบบนี้ๆอยู่ ผมคิดมาแล้ว ผมคิดว่าเราน่าจะจัดการมันด้วยวิธีแบบนี้ โอเคมั้ย?” เมื่อเจอปัญหาผมแก้ปัญหา เมื่อต้องการสื่อสารกับทีมผมละเลงก่อนใครเพื่อน
“ถ้าพี่เจอปัญหาเดียวกับน้องนะ สิ่งที่พี่จะทำคือแบบนี้ๆๆๆ” เมื่อมีคนขอคำปรึกษาผมก็ให้คำปรึกษาอย่างไม่ลังเล
“ยินดีต้อนรับเข้าทีมนะครับ ทีมเรามีหน้าที่ทำแบบนี้ๆๆๆ สิ่งที่น้องต้องทำคือแบบนี้ๆๆๆ สิ่งที่ควรระวังคือแบบนั้นๆๆๆ” เมื่อได้รับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้น้องใหม่ผมก็ทำเต็มที่อย่างเต็มใจและเต็มปากเต็มคำ
ผมเป็นคนแรกที่พูดเสมอ ผมคิดว่าการเป็นคนแรกที่พูดคือสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม ผมคิดว่าการเป็นคนแรกที่พูดนั้นยากและต้องการความกล้าหาญอย่างมาก
มาวันนี้ผมรู้สึกตัวแล้วว่าผมคิดผิด
ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่เปลี่ยนแปลงไป การพูดเป็นคนแรกนั้นไม่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ ที่สำคัญที่สุดการพูดเป็นคนสุดท้ายต่างหากที่ยากและต้องใช้ความกล้าหาญอดทนอย่างมาก … และมันเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้นำที่ดี
หลายครั้งการพูดคนแรกของผมเป็นการปิดกั้นโอกาสในการแสดงออกถึงความคิดเห็นส่วนตัวของคนอื่น — ตอนนี้ผมเป็นหัวหน้าทีม ผมเป็นซีเนียร์ที่สุดในห้องประชุม สิ่งที่ผมพูดคือมาตรฐานซึ่งน้อยคนนักจะกล้าพูดอะไรที่แตกต่างเพื่อมาหักล้างกับความคิดของผม … มันไม่ส่งผลดีต่อใครเลย
หลายครั้งการพูดคนแรกของผมเป็นการชี้นำความคิดของคนอีกหลายคน — ยิ่งผมพูดได้ดี ยิ่งผมพูดอย่างมีหลักการและเหตุผลเป็นขั้นเป็นตอนมากเท่าไร การชี้นำของผมก็จะชัดเจนขึ้นซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดี … “หนูคิดเหมือนพี่เลยค่ะ”, “พี่พูดตรงใจผมเลยครับ” แล้วความคิดที่หลากหลายก็ถูกกำจัดไปโดยปริยาย
หลายครั้งการพูดคนแรกของผมเป็นการพูดจากมุมมองอย่างมีอคติเพียงฝ่ายเดียว — เพราะมนุษย์ทุกคนมีอคติกับทุกเรื่องทั้งสิ้น มันมาจากการรับรู้ส่วนตัว มาจากพื้นหลังส่วนบุคคล มาจากประสบการณ์ของใครของมัน และมันไม่ควรถูกปลูกฝังลงในสมองและความคิดของคนอื่น … “น้องระวังนะ คนนี้มันนิสัยไม่ดี อย่างไปยุ่งกับมัน”, “น้องอย่าไปคิดมากครับ ทำงานที่นี่ ไม่ค่อยมีมาตรฐานหรอก” แล้วน้องใหม่ก็เริ่มงานอย่างมีอคติตั้งแต่วันแรก
ผมกำลังบอกตัวเองว่ามันถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง มันถึงเวลาแล้วที่ผมจะเรียนรู้ทักษะอีกด้านหนึ่งของชีวิต … เรียนรู้ที่จะเป็นคนสุดท้ายที่พูด เรียนรู้ที่จะอดทนและเป็นฝ่ายที่รับฟังก่อน เรียนรู้ที่จะเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เป็นตัวของตัวเองและหาที่ยืนในสภาพแวดล้อมการทำงานนี้ได้อย่างมั่นคง
ยิ่งผมอยู่ในตำแหน่งที่สูงเท่าไรทักษะนี้จะยิ่งสำคัญและจำเป็นต่อผมมากขึ้นเท่านั้น จริงอยู่ที่มันไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเรียนรู้แต่มันก็ไม่มีคำว่าเร็วเกินไปเช่นกัน