ถ้ามีคนมาพูดกับเราว่า …
“จำไว้นะแกก็อย่าไปแตกหักกับใครเขา”
ถ้าที่มาที่ไปคือ … เจ้าของประโยคนี้คือผู้หวังดีที่คิดจะเอาโปรเจกต์ที่น่าสนใจตัวหนึ่งมาให้เราทำแต่ติดปัญหานิดนึงตรงที่หัวหน้าของเขาไม่ชอบขี้หน้าเราเท่าไร
“ครับ” เราอาจจะตอบรับกลับไปแต่ในใจไม่รู้สึกแบบนั้นเลย … ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราก็จะทำอย่างที่ทำและก็จะยังภูมิใจในสิ่งที่เลือกทำ
ถ้าสิ่งที่เราทำ (ที่เรียกว่าแตกหักนั้น) คือการแสดงจุดยืนทางความคิดและหลักการที่เรายึดถือ การพูดความจริงอย่างไม่เกรงกลัวต่อผลที่จะตามมา ความพยายามที่จะช่วยเหลือคนที่ไม่มีโอกาสได้พูด … ด้วยความหวังดีและเจตนาดีอย่างยิ่งที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น — แต่คงเป็นเพราะวิธีการที่เราเลือกใช้ในการสื่อสารมันดูรุนแรงไปหน่อย การแตกหักที่ว่าจึงเกิดขึ้น
ถ้าสิ่งที่เราทำลงไปมันมาจากความเป็นตัวตนของเราจริงๆ หลังจากที่พยายามทำตัวกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมมาสักพัก … มันไปต่อไม่ได้แล้ว ความพยายามในการปิดตาข้างนึงแล้วก้มหน้าทำตามคำสั่งไป เราทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว ความอดทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้นมันหมดไป — คำว่า “Fit In” กลายเป็นคำต้องห้ามสำหรับเรา
ทำไมต้องพยายามทำตัวกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่?
คำตอบคือเราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ถ้าการแสดงความเป็นตัวตนและยึดมั่นในหลักการที่ดีมันจำเป็นต้องแตกหักกับใครบางคนก็ว่าไปตามนั้นเลย เราไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรมากเพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้แคร์อะไรมากเช่นกัน เมื่อมันเป็นแบบนี้ก็แฟร์ดี
เราควรเอาความพยายามนั้นมาทำความรู้จักกับตัวเองจะดีกว่า พยายามทำให้ตัวเอง “Fit In” กับตัวตนที่แท้จริงจะมีประโยชน์กว่า … จริงอยู่ที่โลกนี้กลมและแคบ เหลียวซ้ายแลขวาในวงการนี้ก็มีแต่คนที่รู้จักกัน เราอาจจะเสียโอกาสจากคนกลุ่มหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแย่ มันกลับกลายเป็นเรื่องดีเพราะเราจะมีโอกาสได้คัดกรองและร่วมงานกับคนที่เชื่อในสิ่งที่เราเชื่อ คนที่คิดในแนวทางเดียวกับสิ่งที่เรายึดถือ
และเป็นคนที่จะร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่เราไม่ต้องใช้ความพยายามทำตัวให้กลมกลืน ทุกอย่างจะเป็นธรรมชาติ ลื่นไหล และเต็มไปด้วยรอยยิ้ม — นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่หรือ?