ในฐานะผู้นำเราคือผู้บริหารจัดการพอร์ตการลงทุน เรามีงบประมาณ เรามีกลุ่มของสินทรัพย์ เรามีแผนและเป้าหมายการลงทุน
เราต้องรีวิวผลงานของตัวเองอยู่เป็นระยะ เราก้าวเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นหรือไม่ เราทำได้ดีขึ้นกว่าเมื่อปีที่แล้วรึเปล่า เราพอใจกับคุณภาพของหุ้นที่เราถืออยู่แค่ไหน
คำถามสุดท้ายนี่น่าสนใจเพราะความสมดุลคือเรื่องสำคัญ ถ้าเราทุ่มทุนลงไปกับหุ้นเพียงตัวเดียวเรากำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ถ้าเรากระจายการลงทุนไปในหุ้นหลายตัวเกินไปเราก็จะหาประโยชน์จากเงินก้อนนั้นได้อย่างไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
การเปรียบเปรยนี้ประยุกต์ใช้ได้กับหลายเรื่องในธุรกิจ มันช่วยตอบคำถามที่ว่าทำไมเราถึงขาดคุณภาพในหลายๆส่วน
แทนที่จะลงแรงทั้งหมดของเราไปในโปรดักท์หรือฟีเจอร์ดีๆหนึ่งหยิบมือ เราเลือกที่จะสร้างพอร์ตที่มีแต่โปรดักท์ที่กระจัดกระจาย
แทนที่จะใช้งบประมาณของเราไปกับโปรเจกต์ที่มีศักยภาพสูงเพียงไม่กี่งาน เราเลือกที่จะแบ่งสรรปันส่วนเงินก้อนนี้ไปให้กับโปรเจกต์ธรรมดาๆหลายตัว
แทนที่จะลงทุนกับคนกลุ่มน้อยที่มีความสามารถสูง เราเลือกจะกระจายเงินก้อนนี้ไปกับพนักงานทั่วไปหลายคน
แทนที่จะทุ่มพลัง 50% ที่เรามีให้กับสองเรื่องที่สำคัญจริงๆ เราเลือกที่จะใช้พลังแค่ 10% แต่เพื่องานกลางๆ 10 ชิ้น
การกระจายและการจัดสรรในระดับที่เหมาะสมเรียกว่า “การบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี” แต่หลายครั้งที่เราทำมากไป
นี่คือที่มาของคำว่า “คุณภาพไม่ถึงมาตรฐาน”
เรื่องนี้ยากมาก ในโลกที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดและทุกอย่างดูน่าสนใจไปหมด ทุกไอเดียดูดีบนหน้ากระดาษ ทุกคนดูเก่งกาจมีความสามารถ ทุกโอกาสดูน่าติดตาม
เราต้องการความกล้าหาญที่จะตอบปฏิเสธกับสิ่งเหล่านั้น ความกล้าหาญที่จะเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่และคอยเตือนตัวเองว่าเรามีหน้าที่สร้างความสมดุลให้กับพอร์ตของเรา
เราต้องการแผนสำรอง — ใช่ แต่ผู้นำที่แท้จริงจะรู้ว่าเราควรทุ่มพลังลงไปแค่ไหนกับแผนหลักและแผนสำรอง และตอนนี้ 50–50 ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสักเท่าไร