มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราและทีมงานของเราอยู่เฉยๆนิ่งๆยาวๆสักสามเดือน คำว่าอยู่เฉยๆคือไม่มีงานใหม่ออกมา ไม่มีฟีเจอร์ถูกเพิ่มเข้าไป ไม่มีการขายและทำตลาดเชิงรุก
พูดไปแบบนี้อาจจะทำให้หลายคน (ผู้บริหาร นักลงทุน ผู้ถือหุ้น) แตกตื่น “ธุรกิจเราไปไม่รอดแน่นอน …
- ยอดขายตก
- ลูกค้าหนีหาย
- คู่แข่งแซงหน้า
- สื่อมวลชนไม่สนใจ
- ราคาหุ้นดิ่ง
- นักลงทุนรายใหม่ย้ายค่าย”
อะไรก็ตามแต่ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นแค่การคาดเดา … ในเชิงลบ
ถ้าเราลองคิดในมุมกลับ “มันน่าจะเป็นช่วงเวลาดีๆนะ …
- ทีมได้ผ่อนคลาย
- สมองปลอดโปร่ง
- มีเวลาแก้บั๊กมากขึ้น (แปลว่าคุณภาพโปรดักท์จะดีขึ้น)
- มีเวลาคิด,ไตร่ตรอง, วางแผน, และปรับแผนมากขึ้น
- มีเวลาสะสางงานอื่นๆที่ทับถมกันมานานมากขึ้น
- และตัดโอกาสการก่อเรื่อง (จากการเพิ่มของใหม่ โปรเจกต์ใหม่ ลูกค้าใหม่) ให้น้อยลง”
เปรียบเหมือนว่าคนที่อยู่นิ่งๆจะเจ็บตัวน้อยกว่าคนที่ออกเดินทางแกว่งเท้าหาเสี้ยนด้วยความไม่พร้อม การอยู่นิ่งๆเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ดีที่หลายองค์กรไม่ค่อยเลือกใช้ ความเชื่อที่ว่าการแข่งขันที่ดุเดือดเป็นตัวบังคับให้เราต้องทำเพิ่มทำเพิ่มและทำเพิ่มอยู่ตลอดเวลาเพื่อการขยายตัวทางธุรกิจนั้นไม่จริงเสมอไป
มนุษย์เติบโตขึ้นร่างกายคนเราพัฒนาขึ้นตอนไหน? ตอนนอนหลับ(นิ่งๆ)ไม่ใช่ตอนที่เราทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายเลย เราโตขึ้นตอนที่เราอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ฮอร์โมนได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ตอนที่เราพักผ่อน และถ้าเราอยากแข็งแรงขึ้นอีกการออกกำลังกายจึงเป็นเรื่องที่ตามมา … ธุรกิจก็เช่นกัน
การเติบโตมาจากสองทาง หนึ่งการลงมือทำเพื่อก้าวไปข้างหน้าเหมือนการออกกำลังกาย และสองหยุดพักเพื่อปรับปรุง, สะสมพลังงาน, และสร้างความมั่นคงยั่งยืนเหมือนการพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
เราทุกคนรู้ว่าแค่ออกกำลังกายอย่างเดียวไม่พอ ตราบใดที่เราขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่ เราจะก้าวไปไม่ถึงเป้าหมาย ไม่ว่าจะกีฬาประเภทไหน ไม่ว่าจะสร้างกล้ามเนื้อหรือลดน้ำหนัก เราต้องการทั้งสองเรื่อง — ทำและหยุดพัก
มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลยถ้าเราและทีมงานจะพักจากงานที่เร่งรีบกดดัน งานใหม่ คนใหม่ เทคโนโลยีใหม่ ตลาดใหม่ ลูกค้าใหม่ มันเป็นเรื่องจำเป็นด้วยซ้ำที่เราต้องพักวันนี้เพื่อวันพรุ่งนี้ที่สดใสกว่าเดิม