เกือบเจ็ดปีกับความพยายามในการสร้างบริษัทขึ้นมาจากศูนย์ หนึ่งในสิ่งที่ผมเรียนรู้และซึมซับได้มากที่สุดก็คือความหนังหนา (และหน้าด้าน)
ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ ผมต้องเริ่มการขายอย่างจริงจัง
- ขาย … เพื่อหาเพื่อนร่วมทีม
- ขาย … เพื่อหาลูกค้า
- ขาย … เพื่อหาเงินสนับสนุน
- ขาย … เพื่อหาคนลงทุน
- ขาย … เพื่อหาพาร์ทเนอร์
- ขาย … เพื่อหาแนวร่วมทางอุดมการณ์
ขาย … คือกิจกรรมที่มักลงท้ายด้วยความผิดหวังเพราะพวกเขาไม่ซื้อ ผมกลับบ้านมือเปล่านับครั้งไม่ถ้วน ผมออกแรงฟรีไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมถูกมองข้ามจนเป็นเรื่องปกติ ผมถูกปฏิเสธจนชิน
นั่นแหละคีย์เวิร์ด “จนชิน” มันแปลว่ายิ่งโดนมากยิ่งด้านมาก ยิ่งโดนบ่อยยิ่งรู้สึกเฉยๆ … ยิ่งเวลาผ่านไปผมจึงไม่เก็บความรู้สึกผิดหวังอยู่กับตัวนานเกินไป
ไม่ใช่ไม่ผิดหวัง … หลายครั้งผมรู้สึกว่า ทำไมวะ ทำไมไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ ทำไมไม่เห็นด้วยกับไอเดียและโปรดักท์ที่ดีขนาดนี้ (ในความคิดของผมเอง) …
ไม่ใช่ไม่ท้อแท้ … หลายครั้งที่ผมกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า แกทำอะไรอยู่ แกหลงทางแล้วรึเปล่า แกดีพอจริงมั้ย
แต่ยิ่งเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งเข้าถึงวิธีการจัดการกับเรื่องแบบนี้ เพราะเมื่อลุกจากเตียงผมก็จะยังรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งถ้ารู้ว่าวันนี้เป็นวันขาย (ไม่ว่าจะขายให้กับใครก็ตาม) ผมยังรู้สึกมั่นใจเสมอว่าผมจะขายได้ วันนี้ต้องเป็นวันของผมแน่นอน แต่ในเบื้องลึกของความคิดนั้นผมก็รู้ดีกว่าใครว่า “ไม่หรอก มันก็อาจจะเป็นแค่อีกวันที่ต้องผิดหวัง” 💔 และผมก็พร้อมรับสถานการณ์แบบนั้นเสมอ
มันคือความหนังหนาในรูปแบบหนึ่ง มันคือความดื้อด้านในรูปแบบหนึ่ง มันคือความมั่นใจในตัวเองในรูปแบบหนึ่ง และมันเป็นความรู้สึกต่ำต้อยในรูปแบบหนึ่ง ต่ำต้อยเพราะเรายังต้องเป็นคนขาย ต้องเป็นผู้รับฟัง ต้องเรียนรู้และปรับปรุง ไม่ใช่ผู้กำหนดเกมส์และชี้นิ้วสั่งการอย่างยโสโอหัง
เพราะสิ่งเหล่านี้ที่ผมต้องพบเจอทุกวันทำให้ผมยังมองโลกในแง่ดีอยู่ ยังพอจะมีแรงสู้อยู่ ยังพร้อมที่จะขายและโดนปฏิเสธอีกเรื่อยๆในอนาคตเพราะมันคือเส้นทางเดินที่ทุกคนที่เลือกอาชีพนี้ต้องพบเจอ
มันก็แค่เป็นอีกวันที่ผิดหวังและล้มเหลว พรุ่งนี้คือวันใหม่กับโอกาสครั้งใหม่ สิ่งที่ผ่านไปแล้วจะไม่คงอยู่ถาวร เรามีโอกาสแก้ตัวใหม่เสมอตราบใดที่เรายังไม่ถอดใจยกธงขาวไปเสียก่อน 🌤🌈🏆