คำว่าระบบนิเวศน์ในโลกธุรกิจมีความสำคัญในตัวมันเอง … เรา (ในฐานะบริษัท) คือส่วนหนึ่งในนั้น เราเป็นแค่องค์ประกอบ เรามีส่วนสร้างและบางครั้งทำลาย
เรามีคนรัก และคนไม่รัก 🥀
เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า พาร์ทเนอร์ นักลงทุน คนทั่วไป สังคมภายนอก
เหตุการณ์เกิดได้หลายรูปแบบ
เพื่อนร่วมงานรักเรา แต่คนนอกทีมรู้สึกเฉยๆ – หรือว่างานที่เราทำมันไม่น่าสนใจ?
ลูกค้าปัจจุบันถูกใจเรามาก แต่ลูกค้าอนาคตรู้สึกลังเล – เพราะระบบของเราตอบโจทย์ตลาดเล็กเกินไป?
พาร์ทเนอร์ปัจจุบันอยากอยู่กับเรายาวๆ แต่พาร์ทเนอร์รายใหม่พยายามเดินเลี่ยง – สงสัยเราจะให้ผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่ากับพวกคนใหม่?
นักลงทุนทั่วไปอินกับวิชชั่นของเรามาก แต่นักลงทุนรายใหญ่มืออาชีพมองว่าบริษัทนี้ยังอยู่ในภาวะเสี่ยงเกินไปที่จะลงทุน – คงเพราะเรายังไม่มีกำไรและเหมือนจะขยายธุรกิจได้ไม่เร็วพอ
ตัวอย่างความจริงที่เกิดขึ้นได้ สตาร์ทอัพแต่ละรายเจอเรื่องราวต่างกันไป ของผมเองคือ
- เพื่อนร่วมงานตอนนี้แฮปปี้มาก คนใหม่ก็ตาวาวทุกคนที่ได้ฟังเรานำเสนอโปรดักท์และโครงการระยะยาว
- ลูกค้าปัจจุบันรักมาก ลูกค้าใหม่ตั้งข้อสงสัย
- พาร์ทเนอร์เดิมพอใจ พาร์ทเนอร์ใหม่กำลังต่อคิวเข้ามา
- นักลงทุนทั่วไปสนับสนุนเกินร้อย แต่นักลงทุนรายใหญ่ยังกล้าๆกลัวๆ
คำถามต่อมาคือ ตอนนี้เราต้องการอะไร? เราอยู่ในสถานการณ์แบบไหน? มันจะยากนิดนึงถ้าเรากำลังมองหาผลลัพธ์ระยะสั้นแบบทันทีทันใด
ถ้าเรามองหาความอยู่รอดและการเติบโต … โชคร้ายที่คนสองคนที่ควรจะรักเรามากกว่านี้อีกนิดไม่คิดแบบนั้น – ลูกค้าใหม่กับนักลงทุนมืออาชีพ
สองคนนี้คือคนที่จะช่วยจุนเจือเราได้ในตอนนี้ ถ้าเราขายได้มากขึ้นเราจะอยู่รอด ถ้าเราดึงนักลงทุนรายใหญ่มาร่วมธุรกิจได้เราจะมั่นคงขึ้น
ตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น
แต่ก็อย่าเพิ่งถอดใจไป อย่างน้อยๆ มองโลกแง่ดีไว้ว่าคนที่รักเราน่าจะรักเพราะหวังผลระยะยาว เพราะเห็นว่าเรากำลังพยายามทำอะไร เพราะเชื่อมั่นว่าเราจะทำได้ พวกเขาถึงตื่นเต้นทุกครั้งที่เราเล่าเรื่องธุรกิจให้ฟัง
เพราะเราคิดไกล (เกินไปหน่อย) และชัดเจนว่าเรายังอ่อนด้อยในเรื่องการสร้างผลลัพธ์ระยะสั้น
ถ้าจะแก้ปัญหาก็ตรงนี้นั่นแหละ แก้ระยะสั้นเพื่อความอยู่รอด ถ้าไม่ใช่เพราะทำให้ลูกค้ารักเรามากขึ้นเร็วขึ้นก็ทำให้นักลงทุนรายใหญ่ยอมเชื่อใจโดยเร็ว อันไหนมาก่อนก็ได้
คิดบวกไว้ว่าคนเกินครึ่งรักเรา คิดบวกไว้ว่าถ้าผ่านพ้นจุดนี้ไปได้เราจะสร้างระบบนิเวศน์ที่มีแต่ความรักในทุกทิศทาง