หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการประเมินแผนธุรกิจของเราคือการตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เรากำลังทำอะไรที่คนอื่นทำไม่ได้อยู่รึเปล่า?”
มันคือการมองหาข้ามความง่ายไปหาความยาก ที่ใครๆบอกว่าทำธุรกิจนั้นยากมันก็สมเหตุสมผลดีอยู่เพราะถ้ามันง่ายก็คงมีคนทำกันเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าแบบนี้ กำแพงนั้นลดระดับลง … การเริ่มง่ายขึ้นแต่การอยู่รอดก็ยากขึ้นกว่าเดิมมากเช่นกัน และใครจะอยู่รอดนั้นวัดกันที่ว่าใครทำสิ่งที่ยากมากกว่ากัน
ความได้เปรียบที่ยั่งยืน (Sustainable Advantage) กำลังก้าวเข้ามาแทนความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) และเราต้องลงทุนในเรื่องที่ลงลึกมากขึ้นเพื่อสร้างเกราะป้องกันที่ยากต่อการทำลาย
- ตอนนี้เรากำลังสร้างเทคโนโลยีที่มีแค่เราเป็นเจ้าของหรือไม่? หรือแค่ใช้ในสิ่งที่มีอยู่แล้วตามท้องตลาด
- ตอนนี้เรากำลังสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้ซื้อหรือไม่? หรือแค่คิดแต่จะดูดเงินในกระเป๋าของพวกเขา
- ตอนนี้เรากำลังสร้างแบรนด์ที่แข็งแรงและเพื่ออนาคตหรือไม่? หรือแค่สนใจกับเรื่องการตลาดแบบหลอกขาย
- ตอนนี้เรากำลังพยายามก้าวไปให้ถึงการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) เพื่อลดต้นทุนหรือไม่? หรือแค่พยายามจะซื้อมาขายไปเพื่อทำกำไรต่อชิ้นเล็กๆน้อยๆ
- ตอนนี้เรากำลังสร้างสินค้าและบริการที่ดีพอที่จะทำให้ผู้ใช้ติดใจถึงขนาดไม่ยอมเปลี่ยนไปใช้ระบบแบบเดียวกันจากคู่แข่งหรือไม่ (Switching Cost)? หรือแค่ทำงานให้เสร็จเป็นชิ้นๆแล้วก็ย้ายไปทำอย่างอื่น
สุดท้ายแล้วความยากจะส่งผลดี สุดท้ายแล้วความยากจะกลายเป็นกำแพงที่แข็งแรงแน่นหนาที่คอยป้องกันการรุกรานจากข้าศึกและคู่แข่ง
ยิ่งยากยิ่งแน่น ยิ่งยากยิ่งเยี่ยม … ถ้างานเราง่ายเกินไปนั่นคือสัญญาณว่าเราคิดเล็กไป เราคิดน้อยไป เราไม่มีภูมิคุ้มกัน และเรากำลังเดินอยู่บนความเสี่ยงอย่างยิ่ง
ยาก — เหนื่อยตอนนี้เพื่อความสบายใจในอนาคต 🥲