สถานภาพในจังหวะใดๆในการทำงาน เรากำลังมองหาเดดไลน์ปลอมๆในสองรูปแบบ
ถ้าเรากำลังคุยกับคนที่เราต้องการงานจากพวกเขา เช่น เราคุยกับทีมพัฒนา เราคุยกับผู้รับเหมา เราคุยกับทีมเซลล์ — เรามักจะบีบเดดไลน์ให้กระชั้นกว่าความจริงเสมอ ถ้าของจริงคือสามเดือนเราจะบอกว่าสองเดือน
ถ้าเรากำลังคุยกับคนที่เราต้องส่งงานพวกเขา เช่น เราคุยกับผู้บริหาร เราคุยกับธนาคาร เราคุยกับลูกค้า เราคุยกับพาร์ทเนอร์ — เรามักจะยืดเดดไลน์ออกไปให้ไกลกว่าเดิมเสมอ — ถ้าเราบอกทีมพัฒนาว่าสองเดือน เราจะบอกลูกค้าว่าสี่เดือน
มันคือเดดไลน์ปลอม ทั้งสองด้าน และมีเราเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเดดไลน์จริงคือวันไหน
คำถามคือ … ความไม่โปร่งใสตรงนี้ช่วยอะไรเราได้จริงหรือไม่?
หลายครั้งเราต้องการมันเพราะคำว่า “เผื่อเหลือเผื่อขาด” บีบคนทำงานเข้ามาแล้วยืดคนรับงานออกไป ในกรณีที่ยกตัวอย่างมาเราจะมีเวลาแก้ไขความผิดพลาดได้สองเดือน (พัฒนาสองเดือนแต่ส่งงานภายในสี่เดือน) … สิ่งนี้บอกอะไรเรา?
- เราไม่เชื่อใจทีมพัฒนา?
- เราไม่แน่ใจในการวางแผนของตัวเอง?
ก็อาจจะเป็นแบบนั้น เรากลัวจะผิดพลาดจึงต้องเตรียมแผนสำรองไว้แบบลับๆ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก็คือ … เราจะเจอข้อผิดพลาดแน่นอน เราจะไม่มีทางได้งานภายในสองเดือนที่เราอยากได้ บางอย่างจะเกิดขึ้นทำให้สองเดือนเอาไม่อยู่ และแล้วความจริงจะเริ่มปรากฎว่าสองเดือนคือเดดไลน์ปลอม
สองเดือนยืดมาเป็นสามเดือน … ทีมพัฒนาจะเริ่มเห็นว่า “อ่าว เกินมาเป็นเดือนแล้วไม่เหตุมีปัญหาอะไรใหญ่โตเกิดขึ้นเลย แสดงว่าที่บอกไว้ตอนนั้นก็โกหกกันหละสิ”
พวกเราเรียนรู้รวดเร็วอยู่แล้ว … โปรเจกต์ถัดไปทีมพัฒนาก็จะตั้งข้อสงสัยก่อนเลยว่าตัวเลขที่ได้มาคือเดดไลน์ปลอม แล้วพวกเขาจะเริ่มเดาในใจว่าเดดไลน์จริงคือวันไหน และความกระตือรือร้นของพวกเขาก็จะน้อยลงไปตามธรรมชาติ
เดดไลน์ปลอมอาจจะเวิร์คแต่เดดไลน์ปลอมอาจจะไม่เวิร์ค
มันเวิร์คเพราะการเตรียมการรองรับความผิดพลาด มันไม่เวิร์คเพราะความไม่เชื่อใจระหว่างคนในทีมเดียวกันเอง
มันอาจจะเวิร์คแค่ตอนนี้และไม่มีทางที่มันจะเวิร์คตลอดไป
เดดไลน์ปลอมคือสัญลักษณ์ของความอ่อนแอในความสัมพันธ์กับคนในทีม
เดดไลน์จริงคือสัญญาณของความจริงใจและเชื่อใจ เมื่อทุกคนเห็นภาพเดียวกัน เมื่อทุกคนทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ทุกคนพร้อมรับผิดและรับชอบด้วยกัน ทุกคนตั้งใจทำให้งานเสร็จตามเดดไลน์จริง
เดดไลน์ปลอมจำเป็นสำหรับคนนอก … เราควรเลือกพูดเรื่องจริงกับคนในและมีความลับบ้างกับคนนอก 😌