การทำโปรดักท์ออกมาขายถูกแบ่งเป็นสองด่าน
ด่านหนึ่ง — การเรียนรู้เพื่อเข้าใจ มันคือช่วงเวลาแห่งความสับสน ช่วงเวลาแห่งความไม่แน่ใจ ช่วงเวลาแห่งความล้มเหลว มันเป็นเรื่องปกติมากถ้าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น
- เห็นโอกาสแต่ไม่เห็นแนวทางที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้
- นั่งเทียนเขียนสเปคออกมาแบบมึนๆ
- คนที่เราคิดว่าน่าจะสนใจในโปรดักท์ตัวนี้กลับตอบปฏิเสธทุกราย
- ฟีเจอร์ที่เราคิดว่าเป็นจุดขายไม่มีใครต้องการ
- โปรโตไทป์เวอร์ชั่นแรกง่อยมาก
- โปรโตไทป์เวอร์ชั่นสองห่วยกว่าเดิม
- เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายการขายแล้วก็ยังไม่คลิ๊ก
- ราคาที่ตั้งไว้ถูกมองว่าแพงไปซะทุกครั้ง
- โปรโตไทป์เวอร์ชั่นสามเหมือนแก้หมดและทำใหม่
- เราพยายามจนเจอคนที่สนใจจะเป็นลูกค้ารายแรก
- เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการจูงใจให้เค้าซื้อด้วยโปรโตไทป์เวอร์ชั่นสี่ที่เริ่มทำงานได้
- เราเริ่มต้นเข้าใจมากขึ้นว่าจริงๆแล้วลูกค้าต้องการอะไรจากโปรดักท์ของเรา
- สเปคเก่าถูกฉีกทิ้งเขียนใหม่
- เทคโนโลยีเดิมตกยุคไปแล้ว เทคโนโลยีใหม่ถูกเลือกเข้ามาแทนที่
- โปรโตไทป์เวอร์ชั่นสี่ไม่ตอบโจทย์แล้ว ทั้งในเชิงธุรกิจ, เทคนิค, และความต้องการของลูกค้า
- โปรโตไทป์เวอร์ชั่นห้าถูกสร้างขึ้นมาด้วยความรู้ความเข้าใจที่ดีขึ้นมาก
- โปรโตไทป์เวอร์ชั่นห้าถูกอัพเกรดมาเป็นระบบจริงที่ลูกค้าใช้จริง
- เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโลกความจริง เราจะเริ่มเห็นข้อผิดพลาดและจุดที่ต้องปรับปรุงเยอะขึ้นมาก
- โปรโตไทป์เวอร์ชั่นห้าถูกพัฒนาให้ดีขึ้นพร้อมทั้งเป็นเวอร์ชั่นที่เราพยายามขายลูกค้ารายถัดไป
- ครั้งนี้หลายคนถูกใจ หลายคนมองว่าโปรดักท์นี้ด้วยฟีเจอร์แบบนี้มีประโยชน์จริง
- แต่ยอดขายยังไม่ขยับเพราะราคาที่สูงไป เพราะตลาดไม่พร้อมซื้อในราคาที่เราตั้งไว้และโปรโมชั่นก็ไม่ช่วยอะไร
- เราเริ่มรู้สึกตัวว่าเราทำผิดพลาดอีกแล้ว ผิดพลาดที่พยายามทำโปรดักท์ที่ดีเกินไปเพื่อขายในราคาแพงเกินไปให้กับกลุ่มลูกค้าที่ไม่พร้อมจ่าย
- โปรโตไทป์เวอร์ชั่นหกถูกคิดค้นขึ้นไม่ใช่ให้ดีขึ้นแต่เพื่อทำให้โปรดักท์เราเล็กลง เพื่อการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้น
- โปรโตไทป์เวอร์ชั่นหกไม่ใช่เวอร์ชั่นห้าที่มาหักลบ มันคือเวอร์ชั่นใหม่ที่ต้องใช้เทคโนโลยีใหม่และสเปคใหม่
- แผนธุรกิจถูกปรับแก้อีกรอบ ราคาถูกกำหนดขึ้นใหม่ เหมือนเรามาเริ่มจากศูนย์อีกแล้ว
- ครั้งนี้เรามั่นใจมากขึ้น เราเริ่มได้รับเสียงตอบรับที่ดีขึ้นจากกลุ่มเป้าหมาย
- แต่เราก็มารู้ตัวว่าเวอร์ชั่นหกนั้นยังไม่พร้อมขาย มันยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรในการทำให้มันดีเพียงพอที่จะอยู่กับเราไปได้อีกยาวๆ โดยไม่ต้องมีเวอร์ชั่นเจ็ดหรือแปดถูกสร้างขึ้นมาภายในอีกหกเดือนข้างหน้า
- ยังจำเวอร์ชั่นห้าที่เราขายให้ลูกค้ารายแรกได้มั้ย? นั่นก็ยังต้องทำอยู่ เป็นโปรดักท์สำหรับตลาดที่พร้อมจ่าย และในเวลาเดียวกันเราก็ต้องทำเวอร์ชั่นหกให้เป็นรูปเป็นร่างให้เร็วที่สุด นั่นคือความกดดัน
เราต้องผิดพลาดกี่ครั้ง เราต้องล้มเหลวกี่รอบ … ไม่ว่าจะกี่ครั้งและกี่รอบ เรายังฝ่าไปไม่พ้นด่านหนึ่งเลย
ด่านหนึ่งยากแสนสาหัส ด่านหนึ่งคือบทพิสูจน์ความอดทน ด่านหนึ่งคือด่านที่มีคนข้ามผ่านไปได้น้อยมากๆ ด่านหนึ่งคือเอเวอเรสของทุกคนที่อยากสร้างอะไรขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง
ด่านสอง? ด่านสองคือการขาย ขายโปรดักท์ที่ผ่านการทดสอบมาแล้วว่าเวิร์คทั้งในเรื่องเทคนิค ราคา และตอบโจทย์ตลาดได้อย่างสมบูรณ์
ด่านสองไม่ใช่ไม่ยาก มันก็ยากและท้าทายในแบบของมัน แต่ด่านสองจะไม่เกิดถ้าไม่มีด่านหนึ่ง
“ตอนนี้เรายังอยู่ด่านหนึ่งเลยครับ เรายังไม่ต้องกังวลมากว่าจะขายใครได้เยอะแค่ไหน … หน้าที่ของเราคือเรียนรู้และทำโปรดักท์ที่ถูกต้องที่สุดที่เป็นไปได้ขึ้นมาก่อน” — ผมเล่าให้น้องในทีมฟังเรื่องคอนเซปของคำว่าด่านหนึ่งและด่านสอง 🏊🏻♂️🚴🏻♂️🏃🏼♂️