ผมเพิ่งนำเสนอแผนธุรกิจประจำปี 2564 ของบริษัทไปเมื่อไม่นานมานี้ และนี่คือหนึ่งในสิ่งที่ต้องรีบทำโดยเร่งด่วนครับ
It is necessary that we stop being a project company and start to really be a platform company. The difference is huge. We are suffering from doing a project with a fixed scope and timeline for a fixed customer. With a limited resource, we put all the effort to deliver that project, which leaves us no room for thinking or creating something for the future. Being a platform (or product) company on the other hand, allows us to focus on what is best for the majority of customers, to be able to respond to change more effectively. This is because we don’t have a contractual obligation to deliver a fixed product to a fixed customer. Starting with Things, we will not sell it as a project but a standard solution with a set of features built to solve common problems. Our development effort can then be dedicated to create a platform, which will be a lot more powerful and beneficial for the company in the long run.
ต่อให้บริษัทของเราจะวัฒนธรรมองค์กรที่ดีอย่างไร การทำงานแบบโปรเจกต์สร้างความเจ็บปวดให้เราได้เสมอครับ ด้วยเวลาที่ตายตัว สโคปงานที่เปลี่ยนไม่ได้ ลายเซ็นของเราที่ทิ้งไว้ในสัญญาฉบับใหญ่คือสิ่งที่เรามองข้ามและละทิ้งไม่ได้
ที่ผ่านมาไม่ใช่ผลลัพธ์ไม่ดี … ทุกงานที่ผมเริ่มต้นแบบโปรเจกต์จะจบลงที่โปรดักท์ที่เรานำไปขยายประโยชน์ต่อยอดทางด้านเทคนิคและการขายได้ไม่จำกัด แต่โปรเจกต์ก็ยังคงเป็นโปรเจกต์อยู่วันยังค่ำ ความกดดัน การบีบคั้น เดดไลน์ ไทมไลน์ สเตตัสรีพอร์ต คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ทุกวันนี้ผมเกือบจะเป็นคนเดียวที่แบกภาระทางใจและอารมณ์เหล่านั้นไว้ทั้งหมดแทนทีมงาน ผมยังรู้สึกได้ถึงสภาพการทำงานที่ … ไม่ค่อยปลอดโปร่งเท่าไร
สำคัญยิ่งไปกว่านั้น … งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ลองผิดลองถูก ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วตามข้อมูลความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการมองเป็นโปรเจกต์ที่มีวันเริ่มและวันจบชัดเจน (ไม่เกี่ยงว่าจะใช้กระบวนการทำงานแบบไหน จะอะไจล์ สกรัม หรืออะไรก็ไม่ใช่คำตอบทั้งสิ้น) ถ้าผมอยากสร้างสิ่งที่แตกต่างอย่างมีสาระ ผมต้องเลิกทำโปรเจกต์ และผมก็รู้ซึ้งถึงเรื่องนี้มาสักพักแล้ว จนกระทั่งมีโอกาสที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานทั้งหมดของทีมภายในไตรมาสสองปีนี้
มันคือเป้าหมายสำคัญมากที่ผมต้องทำให้ได้ นั่นคือการเลิกมองว่างานนี้คือโปรเจกต์แบบดั้งเดิม การกล้าที่จะบอกปัดโอกาสในการทำงานให้ลูกค้ารายใหญ่ เลือกที่จะยังไม่รับเงินตอนนี้เพื่อแลกกับความยืดหยุ่นและความยั่งยืนที่ผมหวังว่ามันจะตามมาในอนาคตที่ไม่ไกลจนเกินไปนัก
หน้าที่ของผมตอนนี้คือปิดงานที่รับอยู่ตอนนี้ให้ได้ภายในเดือนนี้ (ขอพรเทวดาอยู่ทุกวัน 👼🏼) แล้วสร้างเกราะป้องกันให้ทีมงานได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการสร้างโปรดักท์และแพลตฟอร์มอย่างที่เราแสวงหามานานให้ได้สักที
ผมเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว … มันคือความเป็นผู้นำที่ทุกทีมต้องการ ผู้นำที่กล้าจะตัดสินใจอย่างรอบคอบว่าอะไรคือเส้นทางที่ดีที่สุดในการก้าวไปสู่เป้าหมายที่บริษัทต้องการ เมื่อเขียนมาแบบนี้ก็ทำให้ฉุกคิดได้ว่า ท้ายที่สุดของที่สุดคือ “การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่าบริษัทนี้มีอยู่เพื่ออะไร ทุกวันนี้เรายอมลำบากกายใจเพื่ออะไร เรากำหนดความหมายของคำว่า ‘สำเร็จ’ ไว้ว่าอย่างไร”
สิ่งเหล่านี้ชัดเจนมาตลอดสำหรับผมครับ … มันอาจจะมีเฉไฉไปบ้างตามสถานการณ์ ผมก็เรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นทั้งด้านบวกและลบ แล้วเมื่อถึงจุดที่ต้องเลือกอย่างจริงจัง … ด้วยการมีเป้าหมายที่ชัดเจน เรื่องนี้จึงไม่ยากเลยสำหรับผม
แพลตฟอร์ม โปรดักท์ โปรเจกต์ … ตามลำดับนี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ตรงนี้ง่าย แต่จะทำอย่างไรให้มีรายได้มาจุนเจือบริษัทในช่วงเริ่มต้นนี้นั้นไม่ง่ายเลย … ฮ่าๆ แต่นั่นก็เป็นอีกความท้าทายหนึ่งที่คนเป็นผู้นำต้องเจออยู่ทุกวันอยู่แล้ว ✌🏼